สัมภาษณ์พิเศษ
ต้องยอมรับว่าดัชนี “ความหวัง” ของธุรกิจท่องเที่ยวไทยเริ่มกลับมาอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้นทันทีที่วัคซีนต้านไวรัสโควิดลอตแรก 2 แสนโดสมาถึงเมืองไทย และมีแผนชัดเจนว่าเบื้องต้นนี้จะได้โควตาวัคซีน 5 หมื่นโดส จากนั้นจะได้เพิ่มอีก 5 ล้านโดส ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้
โดยโควตาทั้งหมดนี้จะฉีดให้กับคนที่ทำงานโรงแรมในพื้นที่ 5 จังหวัดเมืองท่องเที่ยวที่พึ่งพารายได้หลักจากภาคการท่องเที่ยวเป็นกลุ่มแรก ได้แก่ ภูเก็ต, สุราษฎร์ธานี, ชลบุรี, เชียงใหม่ และกระบี่ ซึ่งคาดว่าจะทำให้ประเทศไทยสามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบไม่ต้องกักตัวทุกรูปแบบได้ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้
ยัน “วัคซีน” คือความหวัง
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้สัมภาษณ์พิเศษ “วิชิต ประกอบโกศล” นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) หรือสมาคมทัวร์อินบาวนด์ (ท่องเที่ยวขาเข้า) ถึงแนวคิด มุมมองต่อภาคธุรกิจท่องเที่ยว หลังประเทศไทยเริ่มทยอยรับวัคซีนต้านไวรัสโควิด รวมถึงแนวทางและข้อเสนอแนะสำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ไว้ดังนี้
“วิชิต” ยอมรับว่า วัคซีนคือความหวังของภาคธุรกิจท่องเที่ยว และจากการติดตามข้อมูลก็พบว่าวัคซีนที่ออกมานั้นใช้ได้ผลมากและมีความปลอดภัยสูง หลาย ๆ ประเทศจึงเร่งการฉีดให้ประชาชน เพราะเมื่อมีจำนวนมากพอ เชื่อว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะค่อย ๆ ทยอยกลับสู่ภาวะปกติ เศรษฐกิจก็จะเริ่มกลับมา
ปัจจุบันทั่วโลกมีคนได้รับการฉีดวัคซีนแล้วราว 200 ล้านโตส และหลายประเทศมีจำนวนประชาชนที่ได้รับการฉีดไปแล้วกว่าครึ่ง อาทิ ยุโรป อเมริกา อิสราเอล สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฯลฯ รวมถึงสิงคโปร์ และประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ได้เริ่มประกาศนโยบายชัดเจนแล้วว่าจะเปิดให้คนที่ฉีดวัคซีนแล้วจากทั่วโลกเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวได้โดยไม่มีการกักตัวอีกต่อไป
แนะประกาศเลิกกักตัว มี.ค.นี้
“วิชิต” บอกว่า จากการติดตามแนวทางการทำงานของภาครัฐได้รับข้อมูลว่า ประเทศไทยเราน่าจะสามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบไม่กักตัวได้ในช่วงประมาณไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งไทม์ไลน์ดังกล่าวนั้น สมาคมแอตต้าในฐานะสมาคมที่ดูแลนักท่องเที่ยวตลาดอินบาวนด์มองว่าช้าเกินไป และจะทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสมหาศาล ทั้งในแง่ของการสร้างเศรษฐกิจในประเทศ และการดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมา
ทั้งนี้ ประเมินว่าภายในครึ่งปีแรกนี้ทั่วโลกจะมีคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านคน ในจำนวนนี้น่าจะมีประมาณ 20% หรือประมาณ 200 ล้านคน ที่พร้อมออกเดินทางไปต่างประเทศแล้ว สมาคมจึงคาดการณ์ว่าภายในเดือนเมษายน-พฤษภาคมนี้ จะเริ่มเห็นทั่วโลกทยอยออกเดินทางท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากแล้ว
และมองว่าประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับในเรื่องสาธารณสุข และเริ่มมีคนทยอยฉีดวัคซีนแล้ว ก็ควรเร่งประกาศไทม์ไลน์การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่กักตัวโดยเร็วเช่นกัน หรือประกาศภายในเดือนมีนาคม-เมษายนนี้ และเปิดรับในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมนี้ ไม่ใช่ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
ต่างชาติพร้อมเดินทาง
“วิชิต” บอกด้วยว่า เหตุผลที่อยากให้รัฐบาลประกาศไทม์ไลน์ที่ชัดเจนคือ 1.เพื่อให้คนทั่วโลกที่ฉีดวัคซีนแล้วรู้ว่าสามารถเดินทางเข้ามาประเทศไทยได้แบบไม่กักตัวในช่วงครึ่งปีหลัง และติดตามข่าวสาร ศึกษาโปรแกรมสำหรับเที่ยวประเทศไทยล่วงหน้า ไม่ไปซื้อโปรแกรมท่องเที่ยวประเทศอื่น
และ 2.เพื่อให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนมีเวลาเตรียมความพร้อมสำหรับการกลับมาให้บริการอีกครั้ง ซึ่งปกติใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนในการทำการตลาดล่วงหน้า
“ตอนนี้ผู้ประกอบการได้รับการสอบถามมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมาก ทั้งอเมริกา, จีน และประเทศอื่น ๆ ว่า พวกเขาฉีดวัคซีนแล้ว ประเทศไทยจะเปิดรับนักท่องเที่ยวโดยไม่มีการกักตัวได้เมื่อไหร่ ซึ่งเราให้คำตอบไม่ได้ เพราะรัฐบาลยังไม่ประกาศนโยบายที่ชัดเจน”
โดยประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ หากประเทศไทยประกาศนโยบายเปิดรับต่างชาติช้าจะทำให้พวกเขาไปจองเส้นทางท่องเที่ยวอื่น ๆ แทน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นเท่ากับว่าประเทศไทยจะเสียโอกาสรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้สำหรับปีนี้ไป
สูญรายได้เดือนละ 2 แสน ล.
นายกสมาคม ATTA บอกอีกว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยสูญเสียรายได้จากภาคการท่องเที่ยวไปเดือนละประมาณ 2 แสนล้านบาทต่อเนื่องมาราว 1 ปี หากเปิดรับต่างชาติได้ในเวลาที่เหมาะสม หรือประมาณเดือนมิถุนายนนี้ เชื่อว่าจะทำให้ปีนี้ประเทศไทยมีโอกาสเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ราว 8 ล้านคน และมีรายได้ถึง 5 แสนล้านบาท
“ในภาวะปกติตัวเลข 5 แสนล้านบาทอาจไม่มากนัก แต่ในภาวะเช่นนี้ 5 แสนล้านบาทสามารถช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจได้มหาศาล นอกจากนี้ยังทำให้คนในภาคธุรกิจท่องเที่ยวได้กลับมาทำงานไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน ขณะที่รัฐบาลเองก็มีโอกาสที่จะมีรายได้จากภาษีธุรกิจ และไม่ต้องใส่เงินช่วยเหลือ เยียวยาภาคเอกชนท่องเที่ยวอีกต่อไป ดังนั้น ผมมองว่าการประกาศเปิดประเทศที่เร็วขึ้นเป็นเรื่องจำเป็นมาก เพราะเราต้องแข่งกับเวลา แข่งกับประเทศคู่แข่ง เพื่อช่วงชิงโอกาสในอนาคต”
พร้อมย้ำว่า การที่รัฐประกาศว่าประเทศไทยพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบไม่กักตัวในไตรมาสสุดท้ายนั้น สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกประเด็นคือธุรกิจต้องรอเวลาอีก 7-8 เดือน ซึ่งจะมีผู้ประกอบการที่อ่อนแอ หมดแรง และล้มหายตายจากไปอีกเป็นจำนวนมาก
ย้ำสร้าง ศก.-รายได้ท่องเที่ยว
“วิชิต” ยังย้ำด้วยว่า จากข้อมูลปัจจุบันพบว่า ภาคธุรกิจท่องเที่ยวทั่วโลกมีปัจจัยบวกที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ทั้งเรื่องวัคซีน, วันซีนพาสปอร์ต หรือมาตรการการใช้ “แทรเวลพาส” ของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ หรือ IATA ฯลฯ ทำให้เชื่อมั่นว่าความต้องการการเดินทางท่องเที่ยวกำลังจะเริ่มกลับมาแล้ว
ดังนั้น ประเทศไทยก็ควรมีแนวทางที่ชัดเจนว่า พื้นที่ไหนบ้างที่มีความพร้อมก่อน และน่าจะเปิดได้ในช่วงเดือนไหน เพราะหากรัฐไม่มีไทม์ไลน์ที่ชัดเจนผู้ประกอบการภาคเอกชนก็ไม่กล้าขยับ ไม่กล้าที่จะเรียกพนักงานกลับมาทำงาน โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งสายการบิน โรงแรม ร้านอาหาร รถขนส่ง ฯลฯ
พร้อมทิ้งท้ายว่า วันนี้เริ่มต้นเข้าสู่เดือนมีนาคมแล้ว จึงน่าจะถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องขยับ และมีแผนที่ชัดเจน เพื่อช่วงชิง “โอกาส” ทั้งในแง่ของการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้จากภาคธุรกิจท่องเที่ยวอีกครั้ง