ถ้าเปรียบธุรกิจท่องเที่ยวไทยเหมือนขนมที่หวานหอม ตอนนี้เจ้าของขนมก็อยากขายยกถาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจโรงแรม ซึ่งออกแบบและมีตลาดใหญ่เป็นลูกค้าต่างประเทศ ตอนนี้ก็ขาดรายได้มาเกือบหนึ่งปีแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผยผลการศึกษาว่าวิกฤตของสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้โรงแรมและที่พักที่จดทะเบียนในพื้นที่ 20 จังหวัดมีความเสี่ยงต้องปิดกิจการถึงร้อยละ 20 หรือ 3,700 แห่งจาก 18,400 แห่ง จังหวัดที่เจ็บหนักที่สุดก็คือภูเก็ต กรุงเทพฯ พัทยา และกระบี่ รวมทั้งสมุยด้วย ซึ่งจำนวนนี้ก็อาจจะเพิ่มขึ้นถ้าหากว่าหลังไตรมาสที่หนึ่งของปีนี้แล้วสถานการณ์การท่องเที่ยวยังไม่ดีขึ้น
สาเหตุที่มีปัญหานี้เกิดขึ้นก็เพราะว่าประเทศไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวสูงกว่าชาติใดในโลก และในระดับประเทศก็มีอยู่สามจังหวัดที่พึ่งพาการท่องเที่ยวมากที่สุด ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต กระบี่ และพังงา ซึ่งเป็นจังหวัดในกลุ่มอันดามัน
แถมโรงแรมจำนวนมากก็พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติเกือบทั้งหมด ดังรูปที่ 1
ที่มา: มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด. 2564.การท่องเที่ยว: เสาหลักใหม่ของเศรษฐกิจไทย. บทความนำเสนอในที่ประชุมสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง
ราชบัณฑิตสภา, กรุงเทพมหานคร, 20 มกราคม.
รูปที่ 1 จังหวัดที่พึ่งพารายได้นักท่องเที่ยวสูง
จังหวัดเหล่านี้มีศักยภาพในการหารายได้ให้แก่ประเทศมากและการศึกษาของมูลนิธิสถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ โดย ดร.ณัฐพล อนันต์ธนสาร ที่สนับสนุนโดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) พบว่าประสิทธิภาพของการหารายได้ของจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทย โดยใช้วิธีที่เรียกว่า Data Envelopment Analysis มีอยู่ 6 จังหวัดที่สามารถหารายได้ได้สูงสุด คือ ภูเก็ต พังงา ชลบุรี เพชรบุรี ระนอง และสตูล ส่วนจังหวัดชายทะเลอื่นๆ ก็มีศักยภาพที่สามารถยกระดับรายได้ของจังหวัดได้สูงกว่าปัจจุบันอีก
โดยเฉพาะยิ่งสงขลา สามารถยกระดับรายได้จากการท่องเที่ยวได้ถึง 220,000 ล้านบาทต่อปี แม้แต่จังหวัดระยอง ซึ่งตอนนี้มีรายได้จากการท่องเที่ยวมากอยู่แล้วคือ 37,000 ล้านบาท ในปี 2562 ก็อาจจะสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกเป็น 96,000 ล้านบาท
การที่เราพยายามจะขายขนมที่หวานหอมภายในเวลาจำกัดหมายความว่า เรามีโอกาสที่จะต้องถูกกดราคามาก แล้วเราจะปล่อยให้ขนมหวานของเราถูกขายแบบกดราคาในราคายกถาดแก่ต่างชาติหรือไม่
ที่จริงทรัพย์สินที่เป็นโรงแรมนั้นจะขายให้ต่างชาติหรือไทยก็ไม่ต่างกัน เพราะต่างก็เป็นผู้ประกอบธุรกิจที่หวังกำไรเป็นใหญ่ ขอให้ธุรกิจนั้นเสียภาษีให้ถูกต้อง มีการจ้างงานและให้สวัสดิการตามหลักแห่งกฎหมายและความเป็นธรรม มีการดูแลสิ่งแวดล้อม ไม่สร้างมลภาวะให้เป็นภาระแก่สังคม ถ้ายิ่งทำตัวเป็นพลเมืองดีมีส่วนร่วมในการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมก็ยิ่งวิเศษขึ้นไปอีก
แต่ที่เราคนไทยอาจจะทำใจไม่ได้ก็คือ ในอนาคตถ้าไปเที่ยวที่ไหนแล้วเห็นวิวสวย เห็นโรงแรมงามก็ล้วนแต่เป็นธุรกิจของต่างชาติไปหมด และยิ่งปวดใจถ้าผู้ประกอบการขนกำไรงามๆ กลับไปโครมๆ ทิ้งไว้ให้กับประเทศไทยเพียงแต่ค่าใช้ทรัพยากรและแรงงานเท่านั้น
ถ้าเป็นเช่นนั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่ารัฐบาลควรจะออกพันธบัตรกองทุนอภิบาลการท่องเที่ยวไทยเพื่อมาซื้อจำนองกิจการที่มีปัญหา ซึ่งพันธบัตรนี้ขายให้กับประชาชนไทยและนักท่องเที่ยวทั่วไป ส่วนกิจการก็ให้เจ้าของเดิมนั้นบริหารจัดการไปโดยให้มีการกู้เงิน ดอกเบี้ยต่ำเพื่อดูแลสถานที่และการจ้างงานไปอีกหนึ่งปี เป็นการรักษาการจ้างงานแทนที่จะสั่งปิดกิจการแล้วจ่ายเงินเยียวยาให้พนักงานพนักงาน ให้มีระยะพักหนี้และปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ให้สามารถจ่ายคืนได้ในระยะยาว
อีกมาตรการหนึ่งที่รัฐบาลควรจะต้องทำก็คือ เจรจากับรัฐบาลจีนซึ่งเป็นประเทศเดียวที่ตอนนี้ที่จริงๆ แล้วสามารถอนุญาตให้ประชาชนออกไปท่องเที่ยวได้ ให้สามารถเดินทางติดต่อกับจังหวัดของประเทศไทย ซึ่งค่อนข้างที่จะปลอดโควิด-19 แล้ว เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ หรือจังหวัดที่มีการติดเชื้อต่อวันไม่เกิน 5 คน เรื่องนี้จำเป็นที่จะต้องใช้ “เส้นสาย” ที่สูงสุดเท่าที่เรามีในประเทศไทย ไหนๆ เราก็ว่าไทยจีนพี่น้องกัน รัฐบาลไทยก็ชื่นชมรัฐบาลจีนอยู่ตลอดเวลา ถึงเวลาแล้วที่เราต้องใช้ความสัมพันธ์อันดีนี้มาต่อลมหายใจให้อุตสาหกรรมของคนไทย
สำหรับตัวโรงแรมเองนั้นก็ต้องปรับยุทธศาสตร์ตัวเองให้พึ่งพิงคนไทยได้มากขึ้นโดยให้มีอัตราเข้าพักเป็นสัดส่วนต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างต่ำประมาณร้อยละ 30 ประคับประคองไปจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
ในช่วงสี่เดือนที่ผ่านมาผู้เขียนได้พยายามไปเที่ยวและพักในโรงแรมที่ลดราคาลงร้อยละ 50 จากราคาปกติ ทั้งที่สมุย ชลบุรี ภูเก็ต และกระบี่ ก็เห็นว่าถ้าคนไทยที่เคยใช้งบเที่ยวต่างประเทศหันมาช่วยกันเที่ยวในประเทศก็น่าจะช่วยกันได้ อีกทั้งบริการของโรงแรมของไทยเรานี้ก็ดีกว่าบริการของโรงแรมในต่างประเทศในราคาเท่ากัน แต่โรงแรมห้าดาวเหล่านี้ยังจะต้องปรับบริการให้ถูกใจคนไทยมากขึ้น ยกตัวอย่างที่ภูเก็ตเวลาสั่งผัดไทยก็จะไม่มีเครื่องพวง หรือเป็นโรงแรมที่อยู่ภูเก็ตและกระบี่แต่ไม่มีอาหารปักษ์ใต้เลย คนไทยไปที่ไหนก็อยากกินอาหารถิ่นของที่นั่นเพราะเรากินอาหารรสจัดได้ โรงแรมระดับห้าดาวเหล่านี้ควรทำแฟนคลับคนไทยขึ้นมา
ในช่วงนี้โรงแรม ยังต้องมีการปรับตัวให้เป็นจุดหมายปลายทาง (Destination) ในลักษณะเดียวกับโรงแรมดาราเทวี คือ ลูกค้าจะตั้งใจมาพักในโรงแรมนี้เพราะมีความพิเศษ มีแลนด์มาร์ก มีกิจกรรมที่ต้องทำต่อเนื่องกับโรงแรมทุกปีหรือเป็นกิจกรรมต่อเนื่อง โรงแรมใหญ่จะต้องปรับตัวเองให้ลูกค้ารู้สึกว่ามีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น มีการแบ่งเซ็กเมนต์ เช่น ห้องอาหารให้มีความเป็นมวลชนลดลง สร้างความพิเศษกับเซ็กเมนต์ต่างๆ หรือแบ่งโซนบางโซนให้เป็นศูนย์เสริมความงามที่เป็นผ่าตัดเล็ก เป็นศูนย์พักฟื้นและดูแลผู้ป่วยระยะยาวที่ไม่มีโรคติดต่อหรือเป็นศูนย์ Palliative Care ถ้าเห็นด้วยก็ลุยเลย รอซื้อพันธบัตรอยู่ค่ะ !
มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด
มูลนิธินิธิสถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ