แม้ว่าอิทธิฤทธิ์ของโควิด-19 ยังมี ความรุนแรงทั้งทั่วโลกและเมืองไทย ผู้ติดเชื้อในบ้านเราแต่ละวันก็ยังมีเป็นจำนวนมาก วัคซีนเองก็ยังได้รับการฉีดกันน้อยมาก แถมยังมีดราม่าผุดขึ้นเป็นระยะทำให้กลัวๆกล้าๆ ฉีดไม่ฉีดกันอยู่ และมาตรการต่างๆก็ยังมีความเข้มข้น รณรงค์กันให้ตระหนักและสำนึกถึงการป้องกันตัว ด้วยความไม่ประมาท
ตอนนี้เรายังคงอยู่ภายใต้การประกาศพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 และขยายระยะเวลาการบังคับใช้มาเป็นครั้งที่ 10 จะจบลงในวันที่ 31 มี.ค.นี้ ส่วนจะต่อกันอีกรึเปล่า เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้มีอำนาจควบคุมแบบถนัดมือหน่อยก็ต้องรอดูกันไป
ขณะที่อีกมุมหนึ่ง ก็มีภาพที่ส่งสัญญาณ ที่สะท้อนให้เห็นถึงการผ่อนคลาย ไม่ได้หวาดกลัวกันเหมือนแต่ก่อน มุ่งสู่การเปิดประเทศที่ค่อยๆกว้างขึ้นมากทุกที และเหมือนจะมีปฏิกิริยาของความเร่ง ที่แรงขึ้น เร็วขึ้น
ซึ่งมีแนวคิดจากศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ จากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) ที่จะเปิดรับต่างชาติได้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2564 เข้าพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก ภูเก็ต กระบี่ พังงา สมุย พัทยา และเชียงใหม่ โดยไตรมาส 2 เดือนเม.ย.-มิ.ย.2564 ให้กักตัวในโรงแรม หรือพื้นที่จำกัด 7 วัน หรือมาตรการ 0+7 ถัดไป
จะมีการเปิดรับต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบ 2 โดส สามารถเข้าไทยโดยไม่ต้องกักตัว ซึ่งจะเริ่มในไตรมาส 3 ก.ค.-ก.ย.2564 ต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบ 2 โดสเข้าไทยปลายทางที่จังหวัดภูเก็ต ภายใต้โมเดลภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์โดยไม่ต้องกักตัว เมื่อเที่ยวในภูเก็ตครบ 7 วัน สามารถเดินทางออกนอกภูเก็ตได้
พอไตรมาส 4 เดือน ต.ค.-ธ.ค.2564 ขยายพื้นที่รับต่างชาติแบบไม่กักตัวไปยังพื้นที่นำร่อง กระบี่ พังงา สมุย พัทยา และเชียงใหม่ ใช้แอปพลิเคชันติดตามตัว ก่อนเปิดประเทศรับต่างชาติไตรมาส 1 ปี 2565 ในเดือน ม.ค.เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม ต้องรอความเห็นชอบจาก ศบค. และคณะรัฐมนตรีกันอีกครั้ง ว่าจะเอาด้วยตามแนวทางนี้หรือไม่
ด้านฝั่งของกีฬาเอง ก็ชัดเจนถึงแนวทางที่จะเดินหน้าในเกมต่างๆอย่างไม่ลังเล ไม่ว่าจะเป็นจัดเอง หรือส่งไปแข่งขัน รวมถึงรายการใหญ่อย่าง “โมโตจีพี” ที่ จ.บุรีรัมย์
โดยเฉพาะมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในเดือน ก.ค. แม้เจ้าภาพญี่ปุ่นจะต้องเผชิญกับปัญหาอย่างหนัก และมีมาตรการคุมเข้ม เรียกว่าแทบจะปิดประเทศแข่งกันเลย ห้ามแฟนกีฬาต่างชาติไม่ให้เข้าไปดูอย่างเด็ดขาด ให้คนญี่ปุ่นและผู้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการแข่งขันดูกันเองเท่านั้น ใครที่เข้าไปร่วมเกมก็ต้องมีการคุมเข้ม
ญี่ปุ่นกลับมาวิ่งคบเพลิงโอลิมปิกเมื่อ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา เริ่มจากเมืองฟูกุชิมะ จะผ่าน 47 จังหวัดรวม 121 วัน ภายใต้มาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเข้มงวดก่อนนำไปจุดในพิธีเปิดโตเกียวเกมส์ วันที่ 23 ก.ค.นี้ ที่สนามกีฬาแห่งชาติ ในกรุงโตเกียว กิจกรรมต่างๆที่เตรียมไว้เดิมเพื่อสร้างสีสันต้องยกเลิกไปทำแบบเรียบง่าย
แต่ในบ้านเราซึ่งคาดว่าจะมีนักกีฬาได้สิทธิ์ไปแข่งขันราวๆ 40 คน แม้ไม่ได้ร่วมจัดและไม่ได้บินไปดูรอชมการถ่ายทอดสดซึ่ง กกท.กับ กสทช. ควักกระเป๋าลงขันซื้อสิทธิ์ โดยเอกชนบริหารจัดการก็ใช้โอกาสนี้สร้างความคึกคัก จัดกิจกรรม “วิ่งธงชาติไทย…รวมใจสู่ชัยชนะ” โดย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานโอลิมปิก และอื่นๆอีกมากมาย ทำพิธีเชิญธงไตรรงค์เมื่อวันเสาร์เป็นปฐมฤกษ์ ที่บริเวณหน้าอินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก กกท. ก่อนเริ่มวิ่งกันที่จุดสตาร์ต กม.ที่ 1 ในวันอาทิตย์ เพื่อส่งต่อธงวิ่งจนครบ 35 จังหวัด ต่อเนื่องรวม 61 วัน
ก็ไม่รู้ว่าความคึกคักนี้จะส่งผลกลับมาถึงยอดผู้สนับสนุนช่วงของการถ่ายทอดสดหรือไม่
โควิด-19 ใครใคร่กลัวก็กลัว แต่ไทยแลนด์เลยจุดนั้นมาไกลแล้ว…
“เบี้ยหงาย”